28 หลักข้อเชื่อ
เซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสรับเอาพระคัมภีร์เป็นหลักความเชื่อเพียงแหล่งเดียว และถือปฏิบัติตามพื้นฐานความเชื่อ ตามคำสอนของพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อ เหล่านี้ตามที่สรุปไว้ตรงนี้ เป็นหลักข้อเชื่อที่คริสตจักรมีความเข้าใจ และแสดงออกในคำสอนของพระคัมภีร์ การปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำนี้จะทำได้ต่อเมื่อมีตัวแทนจากทั่วโลกมา ประชุมกันครบรอบห้าปีของสำนักงานใหญ่หรือเมื่อคริสตจักรได้ทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เข้าใจในความจริงของพระคัมภีร์มากขึ้น หรือเมื่อพบภาษาที่จะสำแดง คำสอนในพระวจนะศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าได้ดีขึ้น
1. พระคริสตธรรมคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์
พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่เป็นพระวจนะ ของพระเจ้าที่เขียนขึ้นมาจากการดลใจของพระเจ้าผ่านทางมนุษย์ผู้บริสุทธิ์ของพระองค์ ผู้ได้สอนและเขียนไว้ตามที่ได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในพระวจนะนี้ พระเจ้าได้ทรงมอบความรู้ที่จำเป็นสำหรับความรอดพ้นจากบาปให้แก่มนุษย์ พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์เปิดเผยน้ำพระทัยของพระเจ้าที่ไม่ผิดพลาด เป็นมาตรฐานในการประพฤติปฏิบัติ เป็นสิ่งตรวจสอบการดำเนินชีวิต เป็นสิ่งเปิดเผยให้เห็นหลักข้อเชื่อด้วยสิทธิอำนาจ และเป็นบันทึกให้เห็นถึงพระราชกิจของพระเจ้าในประวัติศาสตร์ที่สามารถเชื่อถือได้ (2 เปโตร 1:20; 21; 2 ทิโมธี 3:16; 17; สดุดี 119:105; สุภาษิต 30:5; 6; อิสยาห์ 8:20;ยอห์น 17:17; 1 เธสะโลนิกา 2:13; ฮีบรู 4:12)
2. ตรีเอกานุภาพ
มีพระเจ้าองค์เดียว พระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้งสามทรงเป็นพระองค์เดียวกันตลอดนิรันดร์ พระเจ้าทรงเป็นองค์อมตะสรรพานุภาพ สัพพัญญู เหนือทุกสิ่ง และสากลสถิต พระองค์ทรงดำรงอยู่นิรันดร์และเกินกว่าการหยั่งรู้ของมนุษย์ ถึงกระนั้น มนุษย์สามารถรู้จักพระองค์จากการทรงเปิดเผยพระองค์เอง พระองค์ทรงสมควรรับการนมัสการ ได้รับการเคารพบูชาและรับการปรนนิบัติจากสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างตลอดไปเป็นนิตย์ (เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4; มัทธิว 28:19; 2 โครินธ์ 13:14; เอเฟซัส 4:4-6; 1 เปโตร 1:2;1 ทิโมธี 1:17; วิวรณ์ 14:7)
3. พระเจ้าพระบิดา
พระเจ้าพระบิดาทรงเป็นพระผู้ทรงสร้าง เป็นแหล่งที่มา เป็นผู้ผดุงรักษา และทรงฤทธานุภาพเหนือสิ่งสารพัด พระองค์ทรงยุติธรรมและบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ทรงพระคุณและพระกรุณาคุณ ทรงพิโรธช้า ทรงมีความรักอันอุดมและสัตย์จริงเป็นนิตย์ นอกจากนี้ พระองค์ทรงเปิดเผยคุณลักษณะและฤทธิ์เดชในพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย (ปฐมกาล 1:1; วิวรณ์ 4:1; 1 โครินธ์ 15:8; ยอห์น 3:6; 1 ยอห์น 4; 1 ทิโมธี 1:7;อพยพ 34:7; ยอห์น 14)
4. พระเจ้าพระบุตร
พระเจ้าพระบุตรองค์นิรันดร์เสด็จมาเป็นมนุษย์ในพระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทรงเปิดเผยพระลักษณะของพระเจ้าทรงกระทำให้แผนงานแห่งความรอดสำเร็จ และโลกได้รับการพิพากษา พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าแท้ตลอดนิรันดร์ และทรงเป็นมนุษย์แท้พระองค์ทรงปฏิสนธิและประสูติจากหญิงพรหมจารีมารีย์โดยเดช พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงดำรงชีพและได้รับประสบการณ์การทดลองเช่นเดียวกับมนุษย์ ทรงเป็นเยี่ยงอย่างการเป็นผู้ชอบธรรมและความรักของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบ การกระทำการอัศจรรย์ของพระองค์ทำให้ประจักษ์ถึงฤทธานุภาพของพระเจ้าและได้พิสูจน์ให้เห็นว่าทรงเป็นพระเมสสิยาห์ตามพระสัญญาของพระเจ้า พระองค์ทรงทนทุกข์ทรมาน และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อความบาปและตายแทนที่เราทั้งหลายด้วยความสมัครใจ ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายและเสด็จสู่สวรรค์ เพื่อปรนนิบัติอยู่ ณ สถานศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์เพื่อเราทั้งหลาย พระองค์จะเสด็จกลับมาอีกด้วยพระสิริเพื่อการช่วยกู้บรรดาประชากรครั้งสุดท้ายและทำให้ทุกสิ่งกลับคืนมาดังเดิม (ยอห์น 1:1- 3; 14; โคโลสี 1:15-19; ยอห์น 10:30; 14:19;โรม 6:23; 2 โครินธ์ 3:18; เอเฟซัส 4:11; 12; กิจการ 1:8; ยอห์น 14:16-18; 26; 15:26-27; 16:7-13)
5. พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์
พระเจ้าพระวิญญาณองค์นิรันดร์ ทรงร่วมกับพระบิดาและพระบุตรในการเนรมิตสร้าง การเสด็จมาในมนุษย์ และการไถ่บาปของพระบุตร พระองค์ทรงเป็นผู้ดลใจผู้เขียนพระคัมภีร์ ทรงประทานพลังแก่การรับใช้ของพระคริสต์ พระองค์ทรงนำมนุษย์ออกมาและให้เขายอมรับตัวเอง และประทานพลังให้แก่บรรดาผู้ตอบสนองต่อการสร้างชีวิตใหม่ รับการเปลี่ยนแปลงของพระองค์ไปสู่พระฉายาใหม่ของพระเจ้า พระเจ้าพระบิดาและพระบุตรได้ส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มาประทับอยู่ใกล้บรรดาบุตรของพระองค์ พระวิญญาณทรงมอบของประทานฝ่ายจิตวิญญาณต่าง ๆ ให้แก่คริสตจักร มอบอำนาจให้คริสตจักรเป็นพยานของพระคริสต์ และนำคริสตจักรให้ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับพระคัมภีร์ซึ่งนำไปสู่ความจริงทั้งมวล (ปฐมกาล 1:1, 2 ลูกา 1:35, 4:18 กิจการ 10:38, 2 เปโตร 1:21, 2 โครินธ์ 3:18 เอเฟซัส 4:11, 12 กิจการ 1:8 ยอห์น 14:16-18, 26, 15:26, 27, 16:7-13)
6. การเนรมิตสร้าง
พระเจ้าทรงเป็นผู้เนรมิตสร้างสรรพสิ่ง และได้เปิดเผยรับรองถึงพระราชกิจแห่งการเนรมิตสร้างไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ในหกวัน พระเจ้าได้ทรง “เนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน” และบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเหนือแผ่นดินโลก และทรงหยุดพักในวันที่เจ็ดของสัปดาห์แรก ด้วยเหตุนี้พระองค์ได้ทรงสถาปนาวันสะบาโตขึ้นให้เป็นอนุสรณ์นิรันดร์แห่งการเนรมิตสร้างทุกสิ่งสมบูรณ์ของพระเจ้า มนุษย์คู่แรกได้รับการสร้างตามพระฉายาของพระเจ้า เป็นผลงานพิเศษของการสร้าง และมอบหมายความรับผิดชอบให้เขาดูแลโลกนี้ เมื่อสร้างโลกเสร็จแล้ว ทุกอย่างทรงเห็นว่า “ดี” ประกาศพระสิริของพระเจ้า (ปฐมกาล บทที่ 1 และ 2 อพยพ 20:8-11; สดุดี 19:1-6; 33:6; 9; 104; ฮีบรู 11:3)
7. ลักษณะตามธรรมชาติของมุษย์
มนุษย์ทั้งชายและหญิงได้รับการสร้างตามพระฉายาของพระเจ้า มีความเป็นปัจ-เจก มีอำนาจและมีอิสระในการคิดและการกระทำ แม้ว่าเขาได้รับการสร้างให้เป็นผู้มีอิสระ มนุษย์มีร่างกาย ความคิดและจิตวิญญาณที่เป็นเอกภาพไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เมื่อบิดามารดาคู่แรกไม่เชื่อฟังพระเจ้า เขาปฏิเสธการพึ่งพาพระองค์และหลุดออกจากตำแหน่งสูงภายใต้การปกครองของพระเจ้า พระฉายาของพระองค์ที่เขามีอยู่สูญเสียไปและเขาตกอยู่ในสภาพที่ต้องตาย ลูกหลานของเขาได้รับผลของการหลงผิดและได้รับผลของการกระทำนั้น ลูกหลานเหล่านั้นเกิดมาด้วยธรรมชาติที่อ่อนแอและมีแนวโน้มกระทำการชั่ว แต่พระเจ้าได้นำโลกนี้กลับคืนดีกับพระองค์โดยทางพระคริสต์และโดยพระวิญญาณของพระองค์ ได้นำพระฉายาของพระผู้สร้างของเขากลับคืนมาสู่มนุษย์ผู้ต้องตายที่กลับใจใหม่อีกครั้ง มนุษย์ได้รับการสร้างขึ้นมาเพื่อถวายพระสิริแก่พระเจ้า เขาได้รับการทรงเรียกให้รักพระองค์และรักเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ให้ดูแลสิ่งแวดล้อมของเขา(ปฐมกาล 1:26-28; 2:7; สดุดี 8:4-8; กิจการ 17:24-28; ปฐมกาล 3; สดุดี 51:5; โรม 5:12-17; 2 โครินธ์ 5:19; 20; สดุดี 51:10;1 ยอห์น 4:7; 8; 11; 20; ปฐมกาล 2:15)
8. การต่อสู้อันยิ่งใหญ่ระหว่างพระคริสต์กับซาตาน
บัดนี้มนุษยชาติได้เกี่ยวข้องในการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ระหว่าง พระคริสต์และซาตานในเรื่องพระลักษณะของพระเจ้า พระบัญญัติและความเป็นผู้มีอำนาจครอบครองเหนือจักรวาลของพระองค์ ความขัดแย้งนี้เริ่มขึ้นในสวรรค์ เมื่อผู้ที่ได้รับการสร้างขึ้นผู้หนึ่ง ได้รับมอบความมีอิสรภาพในการเลือก ได้ยกย่องตนเองขึ้นกลายมาเป็นซาตาน เป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า และนำไปสู่การกบฏของ ทูตสวรรค์จำนวนหนึ่งในสาม ซาตานเมื่อนำเอาอาดัมและเอวากระทำบาป เป็นผู้ริเริ่มความคิดในการกบฏเข้ามาในโลก ความบาปที่เกิดกับมนุษย์ส่งผลให้พระฉายาของพระเจ้าในชีวิตของมนุษย์บิดเบือนไป ทำให้โลกเกิดความยุ่งเหยิง และในที่สุดนำไปสู่การถูกล้างทำลายด้วยน้ำท่วมโลก บรรดาสรรพสิ่งที่ได้รับการสร้างได้เห็นภาพของความขัดแย้งแห่งจักวาล จนในที่สุดพระเจ้าแห่งความรักจะทรงพิสูจน์ให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นฝ่ายถูกต้อง พระคริสต์ได้ส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์และทูตสวรรค์ผู้สัตย์ซื่อเพื่อช่วยเหลือบรรดาประชากรของพระองค์ในการต่อสู้อันยิ่งใหญ่นี้ เพื่อชี้แนะปกป้องและอุ้มชูเขาให้ดำเนินไปตามวิถีแห่งการไถ่ให้รอด (วิวรณ์ 12:4-9; อิสยาห์ 14:12-14; เอเศเคียล 28:12-18; ปฐมกาล 3; โรม 1:19-32;5:12-21; 8:19-22; ปฐมกาล 6-8;” 2 เปโตร 3:6; 1 โครินธ์ 4:9; ฮีบรู 1:14)
9. ชีวิต ความมรณา และการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระคริสต์
จากชีวิตที่ เชื่ออันสมบูรณ์แบบของพระคริสต์ต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า การทนทุกข์ ความมรณาและการเป็นขึ้นมาจากควาตายของพระองค์พระเจ้าได้ทรงให้เป็นการไถ่บาปของมนุษยชาติ ด้วยเหตุนี้ บรรดาผู้มีความเชื่อ ยอมรับการไถ่นี้จะได้รับชีวิตนิรันดร์ และบรรดาสิ่งที่พระเจ้าสร้างไว้แล้วจะเข้าใจความรักนิรันดร์และบริสุทธิ์ของพระผู้สร้าง การไถ่อันสมบูรณ์แบบนี้พิสูจน์ให้เห็นความชอบธรรมของพระบัญญัติของพระเจ้า และพระลักษณะอันบริสุทธิ์งดงามของพระองค์ เพราะสิ่งนี้ประณามความบาปและให้การอภัยแก่เราด้วย ความมรณาของพระคริสต์ทดแทนและชดเชย นำสู่การคืนดีและเปลี่ยนแปลงชีวิต การเป็นขึ้นมจากความตายของ พระคริสต์ประกาศชัยชนะของพระเจ้าเหนือพลังอำนาจของมาร บรรดาผู้รับเอาการไถ่จึงมีความมั่นใจในชัยชนะครั้งสุดท้ายเหนือความบาปและความตาย เป็นการประกาศความเป็นเจ้าเหนือทุกสิ่งของพระเยซูคริสต์ ผู้ที่ทุกหัวเข่าทั้งบนสวรรค์และในโลกต้องคุกเข่าต่อพระองค์ (ยอห์น 3:16; อิสยาห์ 53; 1 เปโตร 2:21; 22;1 โครินธ์ 15:3; 4; 20-22; 2 โครินธ์ 5:14; 15; 19-21; โรม 1:4; 3:25; 4:25; 8:3; 4; 1 ยอห์น 2:2; 4:10; โคโลสี 2:15; ฟิลิปปี 2:6-11)
10. ประสบการณ์แห่งความรอด
ความรักและพระเมตตานิรันดร์ของพระเจ้าได้ทรงกระทำให้พระคริสต์ ผู้ไม่เคยทำผิดบาปต้องมีบาปเพื่อเราทั้งหลาย เพื่อโดยพระองค์นั้นเราทั้งหลายจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้า โดยการทรงนำของ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำให้เราสำนึกความต้องการความรู้ถึงสภาพความเป็นคนบาปของตนเองกลับใจจากการละเมิด และฝึกฝนความเชื่อที่มีในพระเยซูผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดและเป็นพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นผู้ตายแทนและเป็นแบบอย่างแก่เรา ความเชื่อที่นำให้รับเอาความรอดได้มาจากฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะ และเป็นของประทานแห่งพระคุณของพระเจ้าเราทั้งหลายได้รับการทำให้เป็นผู้ไร้ผิดโดยพระคริสต์ ได้รับเข้าเป็นบุตรชายและบุตรหญิงของพระเจ้า เป็นผู้ได้รับการปลดปล่อยจากอำนาจของบาป เราทั้งหลายได้รับการบังเกิดใหม่และชำระให้บริสุทธิ์โดยพระวิญญาณอีกครั้ง พระวิญญาณทรงสร้างจิตใจใหม่ จารึกพระบัญญัติแห่งความรักของพระเจ้าไว้ในจิตใจ และได้รับฤทธิ์เดชในการดำเนินชีวิตอันบริสุทธิ์ เมื่อเข้าสนิทกับพระองค์เราทั้งหลายเป็นผู้มีส่วนในการพิพากษาด้วย (2 โครินธ์ 5:17-21; ยอห์น 3:16; กาลาเทีย 1:4; 4:4-7; ทิตัส 3:3-7; ยอห์น 16:8; กาลาเทีย 3:13; 14; 1 เปโตร 2:21;22; โรม 10:17; ลูกา 17:5; มาระโก 9:23; 24; เอเฟซัส 2:5-10; โรม 3:21-26; โคโลสี 1:13; 14; โรม 8:14-17; กาลาเทีย 3:26;ยอห์น 3:3-8; 1 เปโตร 1:23; โรม 12:2; ฮีบรู 8:7-12; เอเศเคียล 36:25-27; 2 เปโตร 1:3; 4; โรม 8:1-4; 5:6-10)
11. เติบโตขึ้นในพระคริสต์
จากการสิ้นพระชนม์บนกางเขน พระเยซูได้ชัยชนะเหนืออำนาจของความชั่ว พระองค์ทรงปราบอำนาจของวิญญาณร้าย ขณะที่ทรงดำเนินพันธกิจในโลก พระองค์ได้ทรงสลายอำนาจของมัน และได้กำหนดชะตากรรมสุดท้ายเอาไว้ ชัยชนะของพระเยซูได้ทำให้เราได้รับชัยชนะเหนืออำนาจของมารร้าย ซึ่งพยายามจะควบคุมเรา ขณะที่เราดำเนินไปกับพระองค์ในสันติสุข ความชื่นชมยินดี และมั่นคงในความรักของพระองค์ บัดนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรา และประทานอำนาจให้เรา ให้เราอุทิศตัวต่อพระเยซูอย่างต่อเนื่อง ในฐานะพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด และองค์พระเจ้า เราทั้งหลายเป็นอิสระจากภาระในอดีต เราไม่ได้มีชีวิตอยู่ในความมืด และไม่ต้องกลัวอำนาจของมารร้ายอีกต่อไปไม่มีความไม่รู้ ชีวิตที่ไร้ความหมายของชีวิตอย่างเดิมของเราอีกต่อไป แต่มีเสรีภาพใหม่ในพระคริสต์ เราถูกเรียกให้เติบโตสู่ความละม้ายกับอุปนิสัยของพระองค์ จงสื่อสารกับพระองค์ในแต่ละวันด้วยการอธิษฐาน และเติมด้วยพระวจนะของพระองค์ จงใช้เวลาตรึกตรองในสิ่งที่พระองค์จัดหาให้ ร้องเพลงสรรเสริญพระนาม และนัดหมายคน มาร่วมนมัสการพระองค์ และมีส่วนในพันธกิจของคริสตจักร ขณะที่เราถวายตัวรับใช้ด้วยความรักแก่คนที่อยู่รอบๆ ตัวเราในการเป็นพยานถึงความรอดของพระองค์ ทรงสถิตอยู่กับเราทั้งหลายผ่านทางพระวิญญาณของพระองค์ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงทุกขณะจิต และภาระทุกอย่าง และเป็นประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณจิตของเราทั้งหลาย(สดุดี 1:1,2; 23:4; 77:11-12; โคโลสี 1: 13; 14; 2 : 6,14; 15; ลูกา 10: 17-20; เอเฟซัส 5:19-20; 6:12-18; 1 เธสะโลนิกา 5:23;2 เปโตร 2:9; 3:18; 2 โครินธ์ 3:17-18; ฟิเลโมน 3:7-14; 1 เธสะโลนิกา 5: 16-18; มัทธิว 20: 25-28; ยอห์น 20:21;กาลาเทีย 5:22-25; โรม 8: 38-39; 1 ยอห์น 4: 4; ฮีบรู 10: 25)
12. คริสตจักร
คริสตจักรเป็นชุมชนของบรรดาผู้เชื่อที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด เราทั้งหลายได้รับการทรงเรียกให้ออกมาจากโลก ดำเนินตามวิถีแห่งประชากรของพระเจ้าในสมัยพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม เราร่วมกันในการนมัสการและสามัคคีธรรมในการสั่งสอนพระวจนะ ในการฉลองอาหารมื้อสุดท้ายขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อการรับใช้เพื่อนมนุษย์และเพื่อการประกาศข่าวประเสริฐไปทั่วโลก คริสตจักรได้รับสืบทอดสิทธิอำนาจมาจากพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระวาทะที่บังเกิดเป็นเนื้อหนัง และจากพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งได้เขียนไว้ คริสตจักรเป็นวงศ์วานของพระเจ้า พระองค์ได้รับไว้เป็นบุตรของพระองค์ สมาชิกทั้งหลายจึงดำรงอยู่บนพื้นฐานของพันธสัญญาใหม่คริสตจักรเป็นพระกายของพระคริสต์ เป็นชุมชนแห่งความเชื่อโดยมีพระคริสต์เป็นศีรษะ คริสตจักรเป็นเจ้าสาวที่พระคริสต์ได้ตายแทนพระองค์จะได้ชำระและลบมลทินคริสตจักรไว้ เมื่อพระองค์เสด็จมาด้วยชัยชนะ จะทรงนำคริสตจักรถวายคริสตจักรนั้นเพื่อพระสิริของพระองค์ รวมทั้งบรรดาผู้สัตย์ซื่อตลอดทุกยุคสมัย ผู้ได้รับการซื้อไว้แล้วด้วยพระโลหิตของพระองค์ และผู้ไร้ตำหนิ ริ้วรอยใดๆ แต่บริสุทธิ์และปราศจากมลทิน(ปฐมกาล 12:3; กิจการ 7:38; เอเฟซัส 4:11-15; 3:8-11; มัทธิว 28:19; 20; 16:13-20; 18:18; เอเฟซัส 2:19-22; 1:22; 23; 5:23-27;โคโลสี 1:17; 18)
13. คริสตจักรที่เหลืออยู่ และพันธกิจของคริสตจักร
คริสตจักรแห่งโลกนี้ประกอบไปด้วยบรรดาผู้เชื่อพระคริสต์อย่างแท้จริง แต่ในวาระสุดท้าย เป็นเวลาที่มีการละทิ้งความจริงในศาสนาคริสตจักรที่เหลืออยู่ได้รับการทรงเรียกให้ออกมารักษาพระบัญญัติของ พระเจ้าและความเชื่อของพระเยซู คริสตจักรที่เหลืออยู่นี้ประกาศเรื่องการพิพากษาเริ่มขึ้นแล้ว ประกาศเรื่องความรอดโดยพระคริสต์ และป่าวประกาศเรื่องการเสด็จกลับมาครั้งที่สองที่ใกล้เข้ามาแล้ว การทำหน้าที่นี้เป็นสัญลักษณ์ถึงทูตสวรรค์สามองค์ของพระธรรมวิวรณ์บทที่ 14 ซึ่งสอดคล้องกับภาระกิจการพิพากษาในสวรรค์ ยังผลให้เกิดการกลับใจและการเปลี่ยนแปลงใหม่ในโลก ผู้เชื่อทุกคนได้รับการเรียกให้มีส่วนในการเป็นพยานร่วมกันทั่วโลก (วิวรณ์ 12:17; 14:6-12;18:1-4; 2 โครินธ์ 5:10; ยูดา 3; 14; 1 เปโตร1:16-19; 2 เปโตร 3:10-14; วิวรณ์ 21:1-14)
14. เอกภาพในพระกายของพระคริสต์
คริสตจักรเป็นกายหนึ่งเดียวของมวลสมาชิกผู้ได้รับการเรียกออกมาจากทุกชาติทุกเผ่าพันธุ์ ทุกภาษาและจากคนทั้งปวง ในพระคริสต์เราเป็นผู้ได้รับการสร้างใหม่ มีความแตกต่างของเชื้อชาติ วัฒนธรรม ความรู้และสัญชาติ และมีความแตกต่างกันระหว่างคนชั้นสูงและคนชั้นต่ำความรวยและความจน เพศชายและเพศหญิง ทั้งหมดนี้ไม่ควรทำให้เรามีความแตกแยกกัน เราทั้งหลายมีความเท่าเทียมกันในพระคริสต์ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์พระองค์ได้ผูกพันเราทั้งหลายไว้กับพระองค์และผูกพันไว้กับพี่น้อง รับใช้กันและกันโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชังหรือถือตัวเราทั้งหลายแบ่งปันความเชื่อและความหวังที่เหมือนกันตามที่พระเยซูคริสต์ได้เปิดเผยไว้ในพระคัมภีร์ และมุ่งหน้าออกไปเป็นพยานแก่คนทั้งปวง ความเป็นเอกภาพที่มาของความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้าตรีเอกานุภาพ ผู้ทรงรับเราทั้งหลายไว้เป็นบุตรของพระองค์แล้ว(โรม 12:4; 5; 1 โครินธ์ 12:12-14 มัทธิว 28:19; 20 สดุดี 133:1; 2 โครินธ์ 5:16; 17 กิจการ 17:26; 27 กาลาเทีย 3:27; 29โคโลสี 3:10-15 เอเฟซัส 4:14-16; 4:1-6 ยอห์น 17:20-23)
15. บัพติศมา
คริสเตียนแสดงความเชื่อออกมาด้วยการรับบัพติศมาเข้ามีส่วนในความตายและการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์ เป็นพยานถึงการตายต่อบาปของเราและจุดหมายที่จะดำเนินชีวิตใหม่ ด้วยเหตุนี้ เราจึงยอมรับว่าพระคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดมาเป็นประชากรของพระองค์ และรับเข้ามาเป็นสมาชิกในคริสตจักรของพระองค์ พิธีบัพติศมาเป็นสัญลักษณ์ว่าเราเข้าสนิทกับพระคริสต์ การให้อภัยบาป และการที่เราทั้งหลายได้รับเอาพระวิญญาณบริสุทธิ์ การจุ่มลงในน้ำทั้งตัวอันเป็นการยืนยันถึงความเชื่อที่มีต่อพระเยซูและเป็นหลักฐานแสดงถึงการกลับใจจากความบาป เป็นการปฏิบัติตามคำสอนของ พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์และยอมรับคำสอนเหล่านั้น (โรม 6:1-6;โคโลสี 2:12-13; กิจการ 16:30-33; 22:16; 2:38 มัทธิว 28:19; 20)
16. พิธีมหาสนิท
พิธีมหาสนิทคือการเข้ามีส่วนร่วมในสัญลักษณ์แห่งการรับเอาพระกายและพระโลหิตของพระเยซู เป็นการแสดงออกซึ่งความเชื่อที่มีต่อพระองค์ ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ในการเข้าสนิทกับพระคริสต์นั้น พระองค์ทรงประทับอยู่ท่ามกลางที่ประชุมเพื่อเสริมกำลังให้แก่ผู้เชื่อให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ขณะที่เราเข้าส่วนในพิธีนี้ เท่ากับเป็นการประกาศเรื่องความตายของพระองค์ด้วยความชื่นชมยินดีจนกว่าพระองค์เสด็จกลับมา ในการเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่พิธี ผู้ร่วมพิธีจะสำรวจตนเอง กลับใจใหม่และสารภาพความผิดบาปของเขาพระอาจารย์ได้สถาปนาพิธีล้างเท้าเพื่อแสดงให้เห็นถึงการชำระตัวใหม่ เพื่อแสดงออกถึงความยินดีรับใช้กันและกันตามแบบอย่างการถ่อมตัวของพระคริสต์ เพื่อผูกพันหัวใจของเราด้วยความรักพิธีมหาสนิทเปิดกว้างสำหรับคริสเตียนผู้เชื่อทุกคน (1 โครินธ์ 10:16; 17; 11:23-30มัทธิว 26:17-30; วิวรณ์ 3:20; ยอห์น 6:48-63; 13:1-17)
17. ของประทานฝ่ายจิตวิญญาณและพันธกิจการรับใช้
ตลอดทุกยุคสมัยที่ผ่านมาพระเจ้าทรงมอบของประทานฝ่ายจิตวิญญาณให้แก่สมาชิกของคริสตจักร ให้แต่ละคนได้รับของประทานเหล่านี้เพื่อนำไปรับใช้ด้วยความรัก เพื่อประโยชน์แก่คริสตจักรและสังคมมนุษย์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงมอบของประทานเหล่านี้ แบ่งปันแก่สมาชิกคริสตจักรแต่ละคนตามน้ำพระทัยของพระองค์ ของประทานให้ความสามารถ และการรับใช้ตามที่คริสตจักรต้องการ เพื่อปฏิบัติงานให้สำเร็จตามที่พระเจ้าได้ทรงมอบหมาย ตามที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ ของประทานเหล่านี้ได้แก่การรับใช้ด้วยความเชื่อ การเยียวยา การเผยพระวจนะ การประกาศข่าว การสอน การบริหารการเป็นคนกลางเพื่อสร้างการคืนดี การมีใจเมตตาและเสียสละเพื่อการรับใช้ การบรรเทาทุกข์เพื่อนมนุษย์ด้วยการช่วยเหลือ และหนุนใจสมาชิกคริสตจักร บางคนได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าและได้รับความสามารถจากพระวิญญาณปฏิบัติหน้าที่ เพื่อการรับใช้ที่ได้รับการยอมรับจากคริสตจักร ด้วยการทำหน้าที่เป็นศิษยาภิบาล นักเทศน์ประกาศศาสนา เป็นอัครทูตและรับใช้ในการสอนซึ่งเป็นที่ต้องการโดยเฉพาะ เพื่อเสริมสร้างสมาชิกคริสตจักรในการรับใช้ เพื่อสร้างคริสตจักรให้เจริญขึ้นฝ่ายจิตวิญญาณและเพื่อสนับสนุนให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียวกันในความเชื่อและความรู้เรื่องพระเจ้า เมื่อสมาชิกคริสตจักรรับเอาของประทานฝ่ายจิตวิญญาณเหล่านี้ ด้วยการเป็นผู้อารักขาของประทานแห่งพระคุณ ด้วยความสัตย์ซื่อคริสตจักรก็จะได้รับการปกป้องจากอิทธิพลของการทำลายจากคำสอนเท็จ คริสตจักรจำเริญขึ้นตามการเติบโตที่มาจากพระเจ้า อันเป็นการสร้างขึ้นจากความเชื่อและความรัก (โรม 12:4-8;1 โครินธ์ 12:9-11; 27; 28 เอเฟซัส 4:8; 11-16 กิจการ 6:1-7; 1 ทิโมธี 3:1-13; 1 เปโตร 4:10; 11)
18. ของประทานในการเผยพระวจนะ
หนึ่งในจำนวนของประทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือการเผยพระวจนะ ของประทานนี้เป็นเครื่องหมายบ่งบอกถึงคริสตจักรที่เหลืออยู่ โดยเปิดเผยให้เห็นจากการรับใช้ของนางเอเลน จี. ไวท์ ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้สื่อข่าวของพระเจ้า งานเขียนของนางไว้ท์ ยังทำหน้าที่ต่อเนื่อง เป็นแหล่งข้อมูลความจริงที่มีสิทธิอำนาจเพื่อคริสตจักร สร้างความอบอุ่นใจ ชี้แนะแนวทาง สั่งสอนและแก้ไขสิ่งผิดพลาด ผลงานการเขียนเหล่านี้กล่าวไว้ชัดเจนว่า พระคัมภีร์ คือ มาตรฐานตรวจสอบคำสอน ความรู้และประสบการณ์ทุกอย่าง (โยเอล 2:28; 29 กิจการ 2:12-21;ฮีบรู 1:1-3; วิวรณ์ 12:17; 19:10)
19. พระบัญญัติของพระเจ้า
กฎเกณฑ์อันยิ่งใหญ่แห่งพระบัญญัติของพระเจ้า รวมอยู่ในพระบัญญัติสิบประการ และปรากฏให้เห็นเป็นแบบอย่างในชีวิตของพระคริสต์พระบัญญัติเหล่านี้แสดงออกถึงความรัก น้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้าเกี่ยวข้องกับการประพฤติ และการสัมพันธ์กับผู้อื่นของมนุษย์เป็นสิ่งผูกพันคนทั้งหลายทุกยุคสมัยเข้าไว้ด้วยกัน หลักการเหล่านี้เป็นรากฐานของพันธสัญญาของพระเจ้าที่กระทำไว้กับประชากรของพระองค์ และเป็นมาตร-ฐานการพิพากษาของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงช่วยชี้ให้เห็นความบาปและให้ตื่นขึ้น ให้สำนึกว่ามนุษย์ต้องการพระผู้ช่วยให้รอด ความรอดได้มาโดยทางพระคุณไม่ใช่โดยการประพฤติ แต่ผลพวงของความเชื่อคือความเชื่อฟังพระบัญญัติ ความเชื่อฟังนี้พัฒนาอุปนิสัยของคริสเตียนและส่งผลให้มีชีวิตที่ดีงาม การเชื่อฟังด้วยความเชื่อแสดงออกให้เห็นถึงฤทธานุภาพของพระคริสต์ในการเปลี่ยนแปลงชีวิต และเสริมสร้างกำลังการเป็นพยานของคริสเตียน (อพยพ 20:1-17 สดุดี 40:7; 8 มัทธิว 22:36-40 เฉลยธรรมบัญญัติ 28:1-14 มัทธิว 5:17-20 ฮีบรู 8:8-10 ยอห์น 15:7-10 ยอห์น 15:7-10 เอเฟซัส 2:8-10; 1 ยอห์น 5:3 โรม 8:3 สดุดี 19:7-14)
20. วันสะบาโต
องค์พระผู้สร้างผู้ทรงเกื้อกูล หลังจากที่ได้สร้างทุกสิ่งในหกวันแล้วพระองค์ได้ทรงหยุดพักในวันที่เจ็ด และทรงสถาปนาวันสะบาโตเพื่อมวลมนุษย์เป็นอนุสรณ์แห่งการเนรมิตสร้าง พระบัญญัติสิบประการข้อที่สี่ของพระเจ้าที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เป็นกฎที่กำหนดให้รักษาวันสะบาโตวันที่เจ็ดให้เป็นวันแห่งการพักผ่อน วันนมัสการ และการรับใช้ซึ่งสอดคล้องกับคำสอนและวิถีปฏิบัติของพระเยซู ผู้ทรงเป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต วันนี้เป็นวันแห่งความยินดีในการเข้าสนิทกับพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ เป็นสัญลักษณ์แห่งการไถ่ให้รอดในพระคริสต์เป็นหมายสำคัญแห่งการชำระให้บริสุทธิ์ เป็นสิ่งแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดี ให้เราได้ลิ้มรสชาติแห่งราชอาณาจักรนิรันดร์ของพระเจ้าในอนาคต วันสะบาโต เป็นหมายสำคัญเนืองนิตย์ของพันธสัญญานิรันดร์ของพระเจ้าระหว่างพระเจ้าและประชากรของพระองค์ การรักษาวันนี้ให้บริสุทธิ์ด้วยความชื่นชมยินดี เริ่มตั้งแต่ดวงอาทิตย์ตกดินวันเริ่มต้น(วันศุกร์) ไปจนถึงดวงอาทิตย์ตกดินตอนเย็นวันถัดไป (วันเสาร์)เป็นการเฉลิมฉลองพระราชกิจแห่งการเนรมิตสร้างและการไถ่บาปของพระเจ้า (ปฐมกาล 2:1-3 อพยพ 20:8-11 ลูกา 4:16 อิสยาห์ 56:5; 6;58:13-14 มัทธิว 12:1-12 อพยพ 31:13-17 เอเศเคียล 20:12; 20 เฉลยธรรมบัญญัติ 5:12-15 ฮีบรู 4:1-11 เลวีนิติ 23:32 มาระโก 1:32)
21. ฉันทภาระ
เราทั้งหลายเป็นผู้อารักขาของพระเจ้า พระองค์ได้มอบเวลา และสิทธิพิเศษต่างๆ ความสามารถและทรัพย์สมบัติ ตลอดจนพระพรของโลกและทรัพยากรทั้งหลาย เราทุกคนจึงมีหน้าที่รับผิดชอบสิ่งเหล่านี้ต่อพระองค์ โดยการนำไปใช้อย่างสมประโยชน์ ยอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นเป็นเจ้าของสิ่งทั้งปวงเหล่านี้โดยการรับใช้พระองค์และเพื่อนมนุษย์ด้วยความซื่อสัตย์ การถวายทศางค์ (สิบชักหนึ่ง-สิบลดหนึ่ง)และการถวายอื่นๆ ก็เพื่อส่งเสริมภารกิจการประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าสนับสนุนและพัฒนาคริสตจักรของพระองค์ให้เจริญขึ้นฉันทภาระเป็นโอกาสพิเศษที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่เราเพื่อรับการอภิบาลในความรัก มีชัยชนะเหนือความเห็นแก่ตัวและความโลภผู้อารักขาชื่นชมยินดีในพระพรมากมาย ที่หลั่งไหลไปสู่ผู้อื่นอันเป็นผลมาจากความสัตย์ซื่อของเขา (ปฐมกาล 1:26-28; 2:15; 1พงศาวดาร 29:14 ฮักกัย 1:3-11 มาลาคี 3:8-12; 1 โครินธ์ 9:9-14 มัทธิว 23:23; 2 โครินธ์ 8:1-15 โรม 15:26; 27)
22. อุปนิสัยของคริสเตียน
เราทั้งหลายได้รับการทรงเรียกให้ดำเนินชีวิตอันดีงาม เป็นผู้มีความคิด ความรู้สึกและการกระทำที่สอดคล้องกับหลักการแห่งสวรรค์ เพราะพระวิญญาณได้สร้างลักษณะอุปนิสัยตามอย่างขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเราขึ้นมาใหม่ภายในเราทั้งหลาย เราทั้งหลายจะนำตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดผลแห่งชีวิตที่บริสุทธิ์เหมือนพระคริสต์เท่านั้น คือสิ่งที่ส่งเสริมสุขภาพและความชื่นชมยินดีในชีวิต ในที่นี้หมายถึงการบันเทิงต่างๆของเราควรเป็นไปตามมาตรฐานชีวิตอันสูงส่งและงดงามของคริสเตียน ขณะที่เรายอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรม การแต่งตัวจึงควรเรียบง่าย เหมาะสมกับสมัยและสะอาดเรียบร้อย เหมาะกับบรรดาผู้มีความดีงามอย่างแท้จริง โดยไม่เป็นการแต่งกายเพื่ออวดอ้างภายนอกแต่ให้เป็นการแต่งกายที่มีความงาม ความสุภาพของจิตใจภายใน คำนึงอยู่เสมอว่าร่างกายเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจึงดูแลร่างกายนี้ด้วยการใช้สติปัญญา ออกกำลังและพักผ่อนอย่างเหมาะสม รับประทานอาหารที่เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงให้มากที่สุดและไม่รับประทานอาหารที่ไม่สะอาดตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ละเลิกไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล ไม่สูบบุหรี่ และไม่ใช้ยาเสพย์ติดใดๆ ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายโดยรับเอาสิ่งที่นำเอาความคิดและร่างกายให้อยู่ภายใต้หลักคำสอนของพระคริสต์ ผู้ทรงปรารถนาให้ร่างกายของเรามีความสมบูรณ์พร้อมทุกด้าน ทั้งความชื่นชมยินดีและความดีงามทั้งปวง (โรม 12:1; 2; 1 ยอห์น 2:6 เอเฟซัส 5:1-21 ฟิลิปปี 4:8; 2 โครินธ์ 10:5;6:14-7:1; 1 เปโตร 3:1-4; 1 โครินธ์ 6:19-20; 10:31 เลวีนิติ 11:1-47; 3 ยอห์น 2)
23. ชีวิตสมรสและครอบครัว
พระเจ้าทรงสถาปนาพิธีสมรสในสวนเอเดน ได้รับการรับรองโดยพระเยซู เพื่อให้ทั้งชายและหญิงผูกพันกันในความรักและความเป็นหนึ่งเดียวกันตลอดไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ สำหรับคริสเตียนนั้น การสมรสคือการถวายสัตย์ปฏิญาณกับพระเจ้าและปฏิญาณกับคู่สมรส ผู้เชื่อจึงควรสมรสกับผู้ที่มีความเชื่อเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายมีความรัก ให้เกียรติ ยกย่องและรับผิดชอบร่วมกัน ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งถักทอเขาให้มีความสัมพันธ์ที่แนบสนิทสะท้อนให้เห็นความรัก การเคารพสิทธิ ความสนิทสนม และความยั่งยืนของสัมพันธภาพระหว่างพระคริสต์กับคริสตจักรในเรื่องการหย่าร้าง พระเยซูได้สอนไว้ว่าบุคคลใดหย่าขาดจากสามีหรือภรรยาของตน และสมรสกับผู้อื่น ผู้นั้นทำผิดล่วงประเวณียกเว้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกระทำผิดประเวณี แม้ว่าบางครอบครัวอาจมีความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นไปตามอุดมคติ ฝ่ายสามีหรือภรรยาที่ได้อุทิศตนเพื่อพระคริสต์สามารถบรรลุถึงความรักผูกพันได้ โดยการทรงนำของพระวิญญาณ และการอภิบาลของคริสตจักร พระเจ้าทรงอวยพรแก่ครอบครัวและมุ่งหวังให้สมาชิกในครอบครัวสนับสนุนกัน และกัน เพื่อจะได้ก้าวไปสู่การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ บิดามารดาจะต้องเลี้ยงดูบุตรให้รักและเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นตัวอย่างแก่บุตรทั้งด้านความประพฤติและคำพูด สอนบุตรหลานให้รู้ว่าพระคริสต์ทรงเป็นผู้รักษาวินัยผู้รักห่วงใย เอาใจใส่เขาพระองค์ทรงประสงค์ให้ทุกคน เข้ามาเป็นสมาชิกในพระกายของพระองค์ ในครอบครัวของพระเจ้า จุดมุ่งหมายหนึ่งของข่าวข่าวประเสริฐในเวลาสุดท้ายคือการเพิ่มความใกล้ชิดสนิทสนมขึ้นในครอบครัว (ปฐมกาล 2:18-25 มัทธิว 19: 3-9 ยอห์น 2:1-11; 2 โครินธ์7:10; 11 อพยพ 20:12 เอเฟซัส 6:1-4 เฉลยธรรมบัญญัติ 6:5-9 สุภาษิต 22:6 มาลาคี 4:5; 6)
24. พระราชกิจของพระคริสต์ในสถานศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์
ในสวรรค์มีสถานศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าตั้งอยู่ เป็นพลับพลาซึ่งพระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างไม่ใช่มนุษย์ พระคริสต์ทรงรับใช้เพื่อเราทั้งหลายเพื่อให้บรรดา ผู้เชื่อทั้งหลายได้รับการไถ่บาป โดยเครื่องบูชาซึ่งถวายบนไม้กางเขนเพียงครั้งเดียว พระองค์ได้รับ การสถาปนาให้เป็นมหาปุโรหิตของเราทั้งหลาย ทรงเริ่มพระราชกิจการเป็นคนกลางหลัง จากที่พระองค์เสด็จกลับสู่สวรรค์ ในปี ค.ศ.1844 ซึ่งเป็นปีสิ้นสุดตามคำพยากรณ์ 2300 วัน พระองค์ได้เสด็จเข้าสู่ห้องที่สอง (อภิสุทธิสถาน) เพื่อปฏิบัติพระราชกิจช่วงสุดท้าย ทำหน้าที่การพิจารณาพิพากษาซึ่งภาระกิจการชำระบาปทั้งหมด เหมือนกับการชำระ สถานศักดิ์สิทธิ์ในวันลบบาปของคนฮีบรูสมัยก่อน ในพิธีนี้สถานศักดิ์สิทธิ์ได้รับการชำระด้วยเลือดสัตว์ที่ถวายบูชา แต่สถานศักดิ์สิทธิ์ของสวรรค์ได้รับการชำระโดยเครื่องบูชาอันสมบูรณ์แห่งพระโลหิตของพระเยซูการพิจารณาพิพากษาเปิดเผยแก่บรรดาชาวสวรรค์ว่าผู้ใดจากบรรดาคนที่นอนหลับ(ตาย) ในพระคริสต์เป็นผู้สมควรมีส่วนในการเป็นขึ้นมาจากความตายครั้งแรกนอกจากนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้ใดในบรรดาคนที่มีชีวิตอยู่ผู้เข้าสนิทกับพระคริสต์รักษาพระบัญญัติของพระเจ้า และความเชื่อของพระเยซู พร้อมจะถูกรับขึ้นไปสู่แผ่นดินนิรันดร์ของพระองค์ การพิพากษานี้เป็นการตัดสินความยุติธรรมของพระเจ้าในการช่วยบรรดผู้เชื่อในพระเยซูได้รอด เป็นการประกาศว่าบรรดาผู้จงรักภักดีต่อพระเจ้า จะได้รับแผ่นดินของพระองค์ เมื่อการรับใช้ในสถานศักดิ์สิทธิ์ของพระคริสต์เสร็จสมบูรณ์แล้ว เวลาแห่งพระกรุณาที่มีไว้สำหรับมนุษย์สิ้นสุดลงก่อนการเสด็จกลับมาครั้งที่สอง (ฮีบรู 8:1-5; 4:14-16; 9:11-28; 10:19-22; 1:3; 2:16; 17 ดาเนียล 7:9-27; 8:13; 14; 9:24-27 กันดารวิถี 14:34 เอเศเคียล 4:6 เลวีนิติ 16 วิวรณ์ 14:6; 7; 20:12; 22:12)
25. การเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระคริสต์
การเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระคริสต์ เป็นความหวังแห่งพระพรของคริสต-จักร เป็นจุดสุดยอดของข่าวประเสริฐ พระผู้ช่วยให้รอดจะเสด็จมา เป็นจริง มนุษย์ทุกคนทั่วโลกจะเห็นพระองค์ เมื่อพระองค์เสด็จมา บรรดาคนชอบธรรมที่ตายแล้วจะฟื้นขึ้มา บรรดาคนชอบธรรมที่มีชีวิตอยู่จะได้รับศักดิ์ศรีและรับขึ้นไปสู่สวรรค์พร้อมกัน ส่วนคนอธรรมจะตาย ขณะที่คำพยากรณ์กำลังจะสำเร็จทั้งหมด อีกทั้งสภาพการณ์ของยุคปัจจุบันของโลก เป็นสิ่งบ่งบอกว่าการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระคริสต์จวนจะมาถึงแล้ว เหตุการณ์นี้ยังไม่ได้รับการสำแดงให้เห็น เหตุฉะนั้นเราทั้งหลายจึงควรสั่งสอนให้คนทั้งหลายเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ(ทิตัส 2:13 ฮีบรู 9:28 ยอห์น 14:1-3 กิจการ 1:9-11มัทธิว 24:14 วิวรณ์ 1:7 มัทธิว 24:43; 44; 1 เธสะโลนิกา 4:13-18; 1 โครินธ์ 15:51-54; 2 เธสะโลนิกา 1:7-10; 2:8 วิวรณ์ 14:14-20; 19:11-21 มัทธิว 24 มาระโก 13 ลูกา 21; 2 ทิโมธี 3:1-5; 1 เธสะโลนิกา 5:1-6)
26. ความตายและการเป็นขึ้นมาจากความตาย
ค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่พระเจ้าทรงเป็นองค์อมตะ ผู้จะทรงประ-ทานชีวิตนิรันดร์แก่บรรดาผู้ที่พระองค์ทรงไถ่แล้ว คนทั้งหลายที่ตายแล้วนอนหลับอยู่จนกว่าจะถึงวันนั้น เมื่อพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิตของเราทั้งหลายเสด็จมาปรากฏ บรรดาคนชอบธรรมที่เป็นขึ้นมาจากความตายและบรรดาคนชอบธรรมที่ยังมีชีวิตอยู่จะได้รับศักดิ์ศรี และถูกรับไปพบกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ส่วนการฟื้นขึ้นมาจากความตายครั้งที่สอง เป็นการฟื้นขึ้นมาจากความตายของคนอธรรม จะเกิดขึ้นหลังจากหนึ่งพันปีผ่านไปแล้ว (โรม 6:23; 1 ทิโมธี 6:15;16 ปัญญาจารย์ 9:5; 6 สดุดี 146:3; 4 ยอห์น 11:11-14 โคโลสี 3:4?1 โครินธ์ 15:51-54; 1 เธสะโลนิกา 4:13-17 ยอห์น 5:28; 29 วิวรณ์ 20:1-10)
27. ระยะเวลาหนึ่งพันปี และการสิ้นสุดของความบาป
ระยะหนึ่งพันปีเป็นเวลาที่พระคริสต์ และบรรดาผู้ชอบธรรมทั้งหลายครอบครองร่วมกันในสวรรค์ ในระหว่างการฟื้นจากความตายครั้งแรกและครั้งที่สอง ในช่วงเวลานี้คนอธรรมที่ตายแล้วจะถูกพิพากษา โลกจะถูกทิ้งร้าง ไม่มีมนุษย์อาศัย แต่ซาตานและพรรคพวกของมันจะอาศัยอยู่ เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาหนึ่งพันปี พระคริสต์จะเสด็จกลับมา และนครบริสุทธิ์จะลอยลงมาจากสวรรค์มายังโลก คนอธรรมที่ตายแล้วนอนอยู่จะเป็นขึ้นมาจากความตาย ซาตานและเหล่าทูตสวรรค์ชั่ว รวมกับคนเหล่านี้จะมาล้อมนครนั้นไว้ แต่ไฟจากพระเจ้าจะลงมาล้างผลาญพวกเขาและชำระโลกนี้ จากนั้นทั่วจักรวาลจะเป็นอิสระจากความบาปและคนบาปตลอดไปเป็นนิตย์ (วิวรณ์ 20; 1 โครินธ์ 6:2,3เยเรมีย์ 4:23-26 วิวรณ์ 21:1-5 มาลาคี 4:1 เอเศเคียล 28:18; 19)
28. โลกใหม่
ในโลกใหม่ที่บรรดาผู้ชอบธรรมอาศัยอยู่ พระเจ้าทรงจัดเตรียมบ้าน นิรันดร์ให้แก่บรรดาผู้ได้รับการไถ่ ด้วยสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์พร้อม เพื่อเขาเหล่านั้นจะได้พำนักอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์ ด้วยความรักและชื่นชมยินดี และเรียนรู้อยู่ร่วมกับพระองค์ตลอดไป พระเจ้าจะทรงอยู่ร่วมกับประชากรของพระองค์ ความทุกข์ยากและความตายจะล่วงไป สรรพสิ่งทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตจะร้องประกาศว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก และพระองค์จะทรงครอบครองตลอดไปเป็นนิตย์อาเมน (2 เปโตร 3:13; อิสยาห์ 35; 65:17-25; มัทธิว 5:5; วิวรณ์ 21:1-7; 22:1-5; 11:15)
we build your idea in reality
Turpis in eu mi bibendum neque egestas congue quisque. Eu non diam phasellus vestibulum lorem.Excepteur sint occaecat cupidatat non proident, suntin culpa qui officia deserunt mollit animid est laborum.Phasellus imperdiet lacinia nulla, malesuada semper nibh sodales quis, Duis viverra ipsum dictum. It is a long established fact that a reader will be distracted by the readable content of a page when looking at its layout.
our best projects
testimonials
The point of using Lorem Ipsum is that it has a more-or-less normal distribution of letters, as opposed to using 'Content here, content here', making it look like readable English.
The point of using Lorem Ipsum is that it has a more-or-less normal distribution of letters, as opposed to using 'Content here, content here', making it look like readable English.
The point of using Lorem Ipsum is that it has a more-or-less normal distribution of letters, as opposed to using 'Content here, content here', making it look like readable English.